11.10.2557

ลาออกครั้งที่หนึ่ง

บทความที่สองของปีนี้มาแล้ว  คงลบคำสบประมาทที่(ผมเอง)พูดไว้ว่า "เขียนบทความได้แค่ปีละบทความ" ได้แล้ว   คราวนี้อาจเป็นบทความที่น่าเบื่อ  ออกแนวเป็นการบ่นกับตัวเองของคนที่กำลังจะว่างงานซะมากกว่า    อาจมีเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจง และใช้จินตนาการในการอ่าน  แต่ก็คงไม่ต้องใช้มากเหมือนดูหนัง Sci-fi นะ

วันพฤหัสบดี ที่ 24 กรกฎาคม 2557 วันแรกที่ผมย่างเท้าก้าวเข้ามาในรั้วของ บริษัท ที.โอ.ที จำกัด มหาชน อย่างเป็นทางการครั้งแรก  ในฐานะ นักศึกษาผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกเข้าทำงาน   ในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น มีสองทีมที่เข้าสัมภาษณ์ เนื่องจากมีทีมที่ต้องการพนักงานอยู่ 2 ทีม   โดยหนึ่งทีมได้ตกลงเซ็นสัญญากับผู้เข้าสัมภาษณ์คนก่อนหน้าผมไปแล้ว แต่ยังอยู่ทำการสัมภาษณ์ผมต่อ หลังจากที่การสัมภาษณ์เสร็จสิ้น โดยในขณะนั้น ทีมที่รับคนไปแล้ว คือทีมที่ผมสนใจจะทำงานมากกว่า เนื่องจากทราบข่าวว่าเป็นทีมที่พัฒนา Product และค่อนข้างจะมีความสามารถ และ(มาทราบภายหลังว่า)ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า   นั่นทำให้ผมค่อนข้างจะรู้สึกเสียดายมาก  นั่นคือความรู้สึกของ นศ. จบใหม่ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานใดๆ นอกจากการฝึกงาน 

ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ผมเซ็นสัญญากับบริษัท   สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมคือ ความเสียใจและเสียดายที่ไม่ได้เซ็นสัญญากับทีมที่ผมให้ผลตอบแทนสูงกว่าในตอนนั้น กลับหายหมดเกลี้ยงไปเลย   มีความรู้ึกที่ว่า "กูโชคดีจริงๆ ที่เค้ารับคนอื่นไป ทำให้ได้มาร่วมงานกับทีมนี้"  แม้ผมจะไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน  แต่ผมเชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะหาทีมที่อบอุ่นเท่าทีมที่ผมร่วมงานอยู่  มีหัวหน้าที่ไว้วางใจลูกน้องโดยเลือกที่จะไม่นั่งโต๊ะข้างหลังสุดเพื่อให้ลูกน้องไม่กดดัน  ถามว่าเลิกงานไปไหนรึเปล่า ติดรถพี่ไปมั๊ย   แถมยังให้ผมยืมร่ม ในวันที่ฝนตก   มีรุ่นพี่ในทีมที่คอยดูแแลว่าผมจะมีเพื่อนทานขาวเที่ยงรึเปล่า ในวันที่เพื่อนผมไม่มาทำงาน มีพี่ๆโต๊ะข้างๆที่คอยแบ่งปันโอกาสดีๆ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วภาพยนตร์ฟรี ขนมอร่อยๆ  หรือแม้กระทั้งบทความแปลกๆมาให้อ่าน

ในวันแรกของเดือนที่สาม  สิ่งที่เป็นที่มาของบทความนี้ก็ได้เกิดขึ้น   เมื่อผมตัดสินใจยื่นใบลาออกกับทางบริษัทที่ผมสังกัดอยู่   มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก  และเป็นงานที่ยากมากสำหรับการที่ต้องพูดมันออกไปเพื่อแจ้งให้เพื่อนร่วมงานทราบ  และเดินออกมาในขณะที่เรากำลังสร้างความผูกพันธ์  สิ่งที่ผมคาดว่าจะได้รับในตอนนั้นคือ การตำหนิเล็กๆน้อยๆ จากหัวหน้า   แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม  หัวหน้ารับฟังเหตุผล และเคารพการตัดสินใจ  ทั้งยังให้กำลังใจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวไปให้ได้ (ทำเอาน้ำตาแทบไหลแน่ะ แต่เราเป็นผู้ชาย จะร้องไห้ไม่ได้ อายเค้าแย่เลย)

เวลา 3 เดือน ในความรู้สึกของแต่ละคน อาจจะสั้นหรือยาวไม่เท่ากัน  อาจจะสั้นมากสำหรับบางคน   แต่สำหรับผม มันยาวนานพอที่จะทำให้ผมค้นพบว่า . . . ผมโชคดีมากกว่าโชคร้าย ที่วันนั้น ตัดสินใจเข้าร่วมทีมนี้  เพราะถึงแม้ค่าตอบแทนของผมในทีมนี้จะไม่สูงลิบลิ่ว   แต่สิ่งที่ผมได้มาเป็นการทดแทนคือ ความอบอุ่น ในสถานที่ทำงาน ที่มีมากกว่าที่ไหนๆ  ไม่ว่าจะจาก หัวหน้าทีม  เพื่อนร่วมทีม หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมแผนก

ผมอาจจะไม่ได้มีส่วนให้บริษัทก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่นัก  แต่ในทางกลับกัน บริษัทกลับให้ความอบอุ่นแก่ผมเป็นอย่างมาก  ผมมีความทรงจำที่ดีมากๆ ที่ นมผ. (ขอยอมรับตรงนี้เลยว่า จนกระทั่งวันนี้ ผมยังไม่ทราบเลยว่า ชื่อเต็มของ อักษรย่อ 3 ตัวอักษรนี้ มาจากคำว่าอะไร) และจะจดจำตลอดไป

ขอบคุณพี่เล็ก, ขอบคุณพี่เดียร์, ขอบคุณพี่กิ๊บ+พี่ชาย, ขอบคุณพี่สม,  ขอบคุณพี่ปลา และพี่ๆท่านอื่นที่ผมไม่ได้เอ่ยชื่อมา ที่ให้ความรักความอบอุ่นแก่ผมตลอดสามเดือนที่ผ่านมา   และขอบคุณอีฟ ที่แนะนำผมให้ได้มีโอกาสได้รู้จักกับพี่ๆทุกท่าน

สุดท้าย 
หวังว่าบทความนี้จะเป็นปนะโยชน์และข้อคิดให้กับน้องๆที่กำลังจะเริ่มเข้าสู่ชีวิตการทำงานนะครับ  
เมื่อได้เริ่มทำงานจริงๆ  คุณจะเข้าใจว่า "เงินเดือนเริ่มต้น" ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำงาน  แต่กระนั้นผมก็ไม่เถียง ว่าเราก็ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต

หลายๆคนคงได้ยินเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักจากองค์กรนี้  ผมไม่มีความเห็นใดๆกับสิ่งที่ได้ยินเหล่านั้น แต่จากประสบการณ์ที่ผมเคยเข้าไปร่วมงาน ทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะทำงาน/หน้าที่ของตนให้ดีที่สุด