บทความที่สองของปีนี้มาแล้ว คงลบคำสบประมาทที่(ผมเอง)พูดไว้ว่า "เขียนบทความได้แค่ปีละบทความ" ได้แล้ว คราวนี้อาจเป็นบทความที่น่าเบื่อ ออกแนวเป็นการบ่นกับตัวเองของคนที่กำลังจะว่างงานซะมากกว่า อาจมีเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจง และใช้จินตนาการในการอ่าน แต่ก็คงไม่ต้องใช้มากเหมือนดูหนัง Sci-fi นะ
วันพฤหัสบดี ที่ 24 กรกฎาคม 2557 วันแรกที่ผมย่างเท้าก้าวเข้ามาในรั้วของ บริษัท ที.โอ.ที จำกัด มหาชน อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในฐานะ นักศึกษาผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกเข้าทำงาน ในการสัมภาษณ์ครั้งนั้น มีสองทีมที่เข้าสัมภาษณ์ เนื่องจากมีทีมที่ต้องการพนักงานอยู่ 2 ทีม โดยหนึ่งทีมได้ตกลงเซ็นสัญญากับผู้เข้าสัมภาษณ์คนก่อนหน้าผมไปแล้ว แต่ยังอยู่ทำการสัมภาษณ์ผมต่อ หลังจากที่การสัมภาษณ์เสร็จสิ้น โดยในขณะนั้น ทีมที่รับคนไปแล้ว คือทีมที่ผมสนใจจะทำงานมากกว่า เนื่องจากทราบข่าวว่าเป็นทีมที่พัฒนา Product และค่อนข้างจะมีความสามารถ และ(มาทราบภายหลังว่า)ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า นั่นทำให้ผมค่อนข้างจะรู้สึกเสียดายมาก นั่นคือความรู้สึกของ นศ. จบใหม่ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานใดๆ นอกจากการฝึกงาน
ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ผมเซ็นสัญญากับบริษัท สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมคือ ความเสียใจและเสียดายที่ไม่ได้เซ็นสัญญากับทีมที่ผมให้ผลตอบแทนสูงกว่าในตอนนั้น กลับหายหมดเกลี้ยงไปเลย มีความรู้ึกที่ว่า "กูโชคดีจริงๆ ที่เค้ารับคนอื่นไป ทำให้ได้มาร่วมงานกับทีมนี้" แม้ผมจะไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน แต่ผมเชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะหาทีมที่อบอุ่นเท่าทีมที่ผมร่วมงานอยู่ มีหัวหน้าที่ไว้วางใจลูกน้องโดยเลือกที่จะไม่นั่งโต๊ะข้างหลังสุดเพื่อให้ลูกน้องไม่กดดัน ถามว่าเลิกงานไปไหนรึเปล่า ติดรถพี่ไปมั๊ย แถมยังให้ผมยืมร่ม ในวันที่ฝนตก มีรุ่นพี่ในทีมที่คอยดูแแลว่าผมจะมีเพื่อนทานขาวเที่ยงรึเปล่า ในวันที่เพื่อนผมไม่มาทำงาน มีพี่ๆโต๊ะข้างๆที่คอยแบ่งปันโอกาสดีๆ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วภาพยนตร์ฟรี ขนมอร่อยๆ หรือแม้กระทั้งบทความแปลกๆมาให้อ่าน
ในวันแรกของเดือนที่สาม สิ่งที่เป็นที่มาของบทความนี้ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อผมตัดสินใจยื่นใบลาออกกับทางบริษัทที่ผมสังกัดอยู่ มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และเป็นงานที่ยากมากสำหรับการที่ต้องพูดมันออกไปเพื่อแจ้งให้เพื่อนร่วมงานทราบ และเดินออกมาในขณะที่เรากำลังสร้างความผูกพันธ์ สิ่งที่ผมคาดว่าจะได้รับในตอนนั้นคือ การตำหนิเล็กๆน้อยๆ จากหัวหน้า แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม หัวหน้ารับฟังเหตุผล และเคารพการตัดสินใจ ทั้งยังให้กำลังใจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวไปให้ได้ (ทำเอาน้ำตาแทบไหลแน่ะ แต่เราเป็นผู้ชาย จะร้องไห้ไม่ได้ อายเค้าแย่เลย)
เวลา 3 เดือน ในความรู้สึกของแต่ละคน อาจจะสั้นหรือยาวไม่เท่ากัน อาจจะสั้นมากสำหรับบางคน แต่สำหรับผม มันยาวนานพอที่จะทำให้ผมค้นพบว่า . . . ผมโชคดีมากกว่าโชคร้าย ที่วันนั้น ตัดสินใจเข้าร่วมทีมนี้ เพราะถึงแม้ค่าตอบแทนของผมในทีมนี้จะไม่สูงลิบลิ่ว แต่สิ่งที่ผมได้มาเป็นการทดแทนคือ ความอบอุ่น ในสถานที่ทำงาน ที่มีมากกว่าที่ไหนๆ ไม่ว่าจะจาก หัวหน้าทีม เพื่อนร่วมทีม หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมแผนก
ผมอาจจะไม่ได้มีส่วนให้บริษัทก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่นัก แต่ในทางกลับกัน บริษัทกลับให้ความอบอุ่นแก่ผมเป็นอย่างมาก ผมมีความทรงจำที่ดีมากๆ ที่ นมผ. (ขอยอมรับตรงนี้เลยว่า จนกระทั่งวันนี้ ผมยังไม่ทราบเลยว่า ชื่อเต็มของ อักษรย่อ 3 ตัวอักษรนี้ มาจากคำว่าอะไร) และจะจดจำตลอดไป
ขอบคุณพี่เล็ก, ขอบคุณพี่เดียร์, ขอบคุณพี่กิ๊บ+พี่ชาย, ขอบคุณพี่สม, ขอบคุณพี่ปลา และพี่ๆท่านอื่นที่ผมไม่ได้เอ่ยชื่อมา ที่ให้ความรักความอบอุ่นแก่ผมตลอดสามเดือนที่ผ่านมา และขอบคุณอีฟ ที่แนะนำผมให้ได้มีโอกาสได้รู้จักกับพี่ๆทุกท่าน
สุดท้าย
หวังว่าบทความนี้จะเป็นปนะโยชน์และข้อคิดให้กับน้องๆที่กำลังจะเริ่มเข้าสู่ชีวิตการทำงานนะครับ
เมื่อได้เริ่มทำงานจริงๆ คุณจะเข้าใจว่า "เงินเดือนเริ่มต้น" ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำงาน แต่กระนั้นผมก็ไม่เถียง ว่าเราก็ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต
หลายๆคนคงได้ยินเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักจากองค์กรนี้ ผมไม่มีความเห็นใดๆกับสิ่งที่ได้ยินเหล่านั้น แต่จากประสบการณ์ที่ผมเคยเข้าไปร่วมงาน ทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะทำงาน/หน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
หวังว่าบทความนี้จะเป็นปนะโยชน์และข้อคิดให้กับน้องๆที่กำลังจะเริ่มเข้าสู่ชีวิตการทำงานนะครับ
เมื่อได้เริ่มทำงานจริงๆ คุณจะเข้าใจว่า "เงินเดือนเริ่มต้น" ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำงาน แต่กระนั้นผมก็ไม่เถียง ว่าเราก็ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต
หลายๆคนคงได้ยินเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักจากองค์กรนี้ ผมไม่มีความเห็นใดๆกับสิ่งที่ได้ยินเหล่านั้น แต่จากประสบการณ์ที่ผมเคยเข้าไปร่วมงาน ทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะทำงาน/หน้าที่ของตนให้ดีที่สุด