กลับมาเขียน Blog อีกครั้งแล้ว ช่วงหลังนี้รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง ว่าเราอัพบล็อกถี่ขึ้นๆ คงเพราะเริ่มมีเหตุการณณ์ที่น่าประทับใจ น่าจดจำมากขึ้น หรือเรียกแบบสวยหรู ก็คือ "เริ่มมีแรงบันดาลใจ" นั่นแหละครับ
คราวนี้ก็กลับมาเหมือนเดิม คือ รีวิว แชร์ประสบการณ์ การเดินทาง ของหนุ่มวิศวกรแห่งฟรีวิลล์
ขั้นไว้นิดนึง ตอนนี้ ข้อมูล Personal เปลี่ยนแล้วนะจ้ะ จาก Department of . . .
มาเป็น Software Engineer of Freewill Solution. เก๋ไก๋ ดูมีสังกัดขึ้นมาหน่อยนึง
พูดให้เข้าใจง่ายๆขึ้นไปอีกคือ ผมไปเที่ยวมา ฟังผมโม้หน่อยยย ~ ~
เรื่องทั้งหมด เกิดจากความคิดเล็กว่า "อยากเที่ยว" แต่จะเที่ยวไหนกัน
นี่แหละปัญหา
ภาพตัดมาที่บทสรุป ว่าเราตัดสินใจไปเมือง กาญจนบุรี เมืองสองแคว แพร้อยไร่
ด้วยเหตุผลที่ง่าย แต่สมเหตุสมผลมาก นั่นคือ "เราต่างเคยไปมา แต่ไม่เคยไปด้วยกัน"
ได้เป้าหมายแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนการวางแผน เริ่มด้วยการเดินเข้า se-ed หาหนังซื้อเที่ยวเมืองกาญสักเล่มมาอ่าน จนได้แผนการเดินทางโดยละเอียด ก็ตามนี้ครับ
ฉะนั้น ตัดการเดินทางโดยรถสาธารณะ(โดยเฉพาะรถไฟ) ไปได้เลย
ครั้งนี้เราจะ ขับรถไปกันเอง ครับ
แต่เราไม่มีรถกันนี่ แก้ปัญหาได้ด้วยการ เช่ารถ อีกแล้วครับท่าน
(ทริปที่แล้วก็เช่ามอไซค์ไป ไม่แน่ทริปหน้าอาจเช่าเครื่องบิน)
ตัดสินใจได้แล้ว ก็จัดแจง หาข้อมูล การเช่ารถ ซึ่งปัจจุบันมีหลายค่าย ที่เป็นผู้ให้บริการระดับสากล ลอง Google กันเอาเองนะครับ
บางคนบอกอ่านมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่เมิงจะออกเดินทางไปเที่ยวสักที
ก็แหม นานๆจะเที่ยวสักครั้งนึง ขอโม้นานๆหน่อย
เข้ามาสู่ฉากวันเดินทาง ช่วงเช้าก็ใช้ชีวิตตามปกติ จะผิดแปลกหน่อย ก็ตรงของที่พกไป คนทำงานที่ไหนแบกเต๊นท์ไปทำงาน แต่คิดว่าคงไม่แปลกร๊อก ก็ที่อยู่อาศัยมันคือปัจจัยหนึ่งของการใช้ชีวิตเฟ้ยย
เลิกงานปุ๊บ ก็รีบสะพายกระเป๋า หยิบเต๊นท์ วิ่งออกจากบริษัท เจอผู้ร่วมทริป แล้วมุ่งหน้าไปจุดเริ่มทริปของเรากัน นั่นคือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อรับรถที่ทำการจองไว้
แล้วก็เริ่มออกเดินทางเลยจ้า ดูเวลา ณ ขณะนั้น ประมาณ 2 ทุ่ม 45 ถือว่าเป็นฤกษ์ยามงามดี ในการออกเดินทาง
หยิบโทรศัพท์ เปิดแอพแผนที่ Route ไปเมืองกาญ
เข้าเกียร์ D แล้วเหยียบคันเร่ง ออกมาจากสนามบินเลยจ้า มุ่งหน้าสู่เมืองกาญ ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์
ภาพตัดมาอีกครั้ง เวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ตอนนี้เราถึง สุวรรณภูมิ ไม่ต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่ครับ อ่านไม่ผิด เราหลงทาง วนเวียนอยู่ รอบๆสุวรรณภูมิ
เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว เลิกมองแผนที่แล้วหันมาพึ่งพาตนเอง พยายามมองหาป้าย แล้วดูว่าปลายทางไหนที่เราพอจะคุ้นๆบ้าง ขับไปเรื่อยๆเจอป้าย อ่อนนุช ก็ไม่รีรออะไรแล้วล่ะครับ ขับตามโลด . . .
จากนั้นก็เข้าเส้นทางหลักที่เราวางแผนไว้ คือเข้าถนน เพชรเกษม แล้ววิ่งยาวไปตามถนนเรื่อยๆ แล้วขึ้นสะพานเลี้ยวเข้าถนนแสงชูโต
เรามาถึงเมือง กาญจนบุรี เวลาประมาณ เที่ยงคืน บรรยากาศค่อนข้างสงบ รถไม่ค่อยมี
(ก็มันเที่ยงคืนแล้วนี่นะ ใครจะมาขับรถเล่นกันอีก)
คืนแรกที่เมืองกาญ เราจะนอนพักเอาแรงกันที่ "อมรามอร์นิ่งโฮม อพาร์ทเม้นท์" สนนราคาอยู่ที่ 600 บาทต่อคืน ห้องพักสะอาดดี จัดห้องไม่ต่างจากโรงแรมเลย เข้าห้องได้แล้วเราก็ไม่รอช้า อาบน้ำ แล้วขึ้นเตียงทันที . . . รีบนอนครับ ตกลงกันว่าพรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้า เราจะไปลุย อช.เขาแหลม กัน
ตื่นมาหกโมงเช้า ด้วยอากาศที่หนาวจัดเนื่องจากการเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 24 องศาเซลเซียส ทำให้เรา หลับต่อ ตื่นมาอีกที เกือบจะ 10โมง แล้ว ก็รีบอาบน้ำ ขนของขึ้นรถครับ คืนนี้เราจะไม่นอนที่นี่แล้ว เราจะไปกางเต๊นท์กันที่เข้าแหลมจ้า
เวลาประมาณ 10 โมงกว่าๆ เริ่ม เช็คเอาท์จากอพาร์ทเม้นท์ป้าอมรา กางแผนที่แล้วออกเดินทางสู่เขาแหลม กันเลย
ขับรถไปตามถนน แสงชูโต ไปเรื่อยๆ เจอที่เที่ยวก็แวะชม
ทริปนี้ จะทำให้เราจำชื่อถนน "แสงชูโต" จนขึ้นใจเลยครับ
วิ่งไปตามถนนแสงชูโต ไปทางตะวันตก เรื่อยๆ ป้ายแรกที่เห็นคือ "ทางรถไฟสายมรณะ" ไม่รอช้า ตบไฟเลี้ยวซ้ายเข้าถนน "แควใหญ่" เข้าไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงครับ แต่เผอิญ ฝนเริ่มตก เราก็ได้แต่ขับรถผ่าน แล้วกลับรถออกมาเข้า "แสงชูโต" อีกครั้งครับ มุ่งหน้าไปทางตะวันตก ต่อไป
จะเจอกี่แยก ก็เลี้ยวไปให้ตัวเองอยู่บนถนน "แสงชูโต" ให้ได้ครับ ชอบโดยส่วนตัวกับชื่อถนนนี้
ระหว่างทางถนนค่อนข้างโรแมนติก อาจไม่เท่าถนนอุโมงค์ที่กระบี่ แต่ก็ร่มรื่นไม่แพ้กัน
อ่าน plain text นานๆกลัวจะเบื่อ ขอเอาถนน(นอก)เมืองกาญมาอวดละกัน
ผ่านมา 60 กิโลเมตร โดยประมาณ เจอป้ายที่เที่ยวอีกแล้วครับ กับ "น้ำตกไทรโยค" แต่เจ้ากรรม เราเบรคไม่ทัน ขับเลยไปเฉย แต่ไม่เป็นไร ข้อดีทริปนี้คือ เราขับรถมากันเอง ขับเลยก็กลับรถกลับมาครับ

ระว่างเดินไปก็รู้สึกเหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่าง แผ่ออกมาจากกอไผ่กอนี้
พอเดินไปเข้าไปใกล้ๆ เริ่มเห็น หัวรถจักรรุ่นเก่ามากๆ จอดอยู่ ไม่แน่ใจว่าจอดเสีย หรือว่าไปต่อไม่ได้เพราะเห็นมีกิ่งไม้ห้อยขวางไว้
บรรยากาศระหว่างทาง เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจ และอยากนำเสนอมาก
ระหว่างทางก็เห็นป้ายบอกทาง บอกว่า อุทยานแห่งชาติไทรโยค ตรงไป แน่นอนเราต้องแวะแน่ๆ แต่ขับไปเรื่อยๆ ดันไปเจอป้าย บอกทางไปเขื่อนวชิราลงกรณ์ ซะงั้น
ก็คิดในแง่ดีว่า ขับตรงไปคงเจอ อช.ไทรโยค แต่ยิ่งขับไป เหมือนยิ่งใกล้เขื่อนเข้าไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่าเราเลย อช. มาแล้ว เพราะมาถึงทางเข้าเขื่อนวชิราลงกรณ์ ก็ถือคติว่า อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป เราอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ก็ตบไฟเลี้ยว เลี้ยวเข้าเขื่อนทันที เขื่อนนี้เข้าฟรีนะครับ แต่ . . . เท่าที่เคยเที่ยวเขื่อนมา สองสามเขื่อน ก็ไม่เคยเจอเขื่อนไหนที่เก็บค่าธรรมเนียมนะ ไม่รู้ผมจะบอกทำไมเหมือนกัน
แต่ทางเข้าจะมี เจ้าหน้าที่แจกบัตรจอดรถอยู่ เหมือนที่จอดรถใน BigC หรือ Tesco Lotus นั่นล่ะครับ รับบัตรแล้วก็ขับตรงต่อมาได้เลย เดี๋ยวถนนจะพาเราไปยังทางขึ้นไปบนสันเขื่อนเอง
ทางขึ้นไม่ได้ชันมากครับ แต่จะค่อนข้างยาว
"สถานที่พักพิงตลอดกาล" คำอธิบายที่กระชับได้ใจความ และดูขลังมาก กับสถานที่แห่งนี้
เดินเข้าผ่านซุ้มประตูเข้ามาด้านใน ก็จะเป็นพื้นที่(ซึ่งผมเข้าใจว่า)บรรจุ/ฝัง ศพของทหารที่เสียชีวิตไว้
มาเป็น Software Engineer of Freewill Solution. เก๋ไก๋ ดูมีสังกัดขึ้นมาหน่อยนึง
พูดให้เข้าใจง่ายๆขึ้นไปอีกคือ ผมไปเที่ยวมา ฟังผมโม้หน่อยยย ~ ~
เรื่องทั้งหมด เกิดจากความคิดเล็กว่า "อยากเที่ยว" แต่จะเที่ยวไหนกัน
นี่แหละปัญหา
ภาพตัดมาที่บทสรุป ว่าเราตัดสินใจไปเมือง กาญจนบุรี เมืองสองแคว แพร้อยไร่
ด้วยเหตุผลที่ง่าย แต่สมเหตุสมผลมาก นั่นคือ "เราต่างเคยไปมา แต่ไม่เคยไปด้วยกัน"
ได้เป้าหมายแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนการวางแผน เริ่มด้วยการเดินเข้า se-ed หาหนังซื้อเที่ยวเมืองกาญสักเล่มมาอ่าน จนได้แผนการเดินทางโดยละเอียด ก็ตามนี้ครับ
เย็นวันศุกร์ เดินทางออกจาก กทม. มุ่งหน้าไปกาญจนบุรี
บ่ายวันอาทิตย์ เดินทางออกจากกาญจนบุรี กลับ กทม.
คืนแรกนอนในเมือง คืนที่สองนอนเต๊นท์
คืนแรกนอนในเมือง คืนที่สองนอนเต๊นท์
แค่นี้จริงๆครับ
ส่วนการเดินทางนั้น ทริปนี้เป็นการเดินทางที่มีเวลาจำกัด แปลว่าโอกาสที่เราจะจำกัดงบประมาณนั้นน้อยมากฉะนั้น ตัดการเดินทางโดยรถสาธารณะ(โดยเฉพาะรถไฟ) ไปได้เลย
ครั้งนี้เราจะ ขับรถไปกันเอง ครับ
แต่เราไม่มีรถกันนี่ แก้ปัญหาได้ด้วยการ เช่ารถ อีกแล้วครับท่าน
(ทริปที่แล้วก็เช่ามอไซค์ไป ไม่แน่ทริปหน้าอาจเช่าเครื่องบิน)
ตัดสินใจได้แล้ว ก็จัดแจง หาข้อมูล การเช่ารถ ซึ่งปัจจุบันมีหลายค่าย ที่เป็นผู้ให้บริการระดับสากล ลอง Google กันเอาเองนะครับ
บางคนบอกอ่านมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่เมิงจะออกเดินทางไปเที่ยวสักที
ก็แหม นานๆจะเที่ยวสักครั้งนึง ขอโม้นานๆหน่อย
เข้ามาสู่ฉากวันเดินทาง ช่วงเช้าก็ใช้ชีวิตตามปกติ จะผิดแปลกหน่อย ก็ตรงของที่พกไป คนทำงานที่ไหนแบกเต๊นท์ไปทำงาน แต่คิดว่าคงไม่แปลกร๊อก ก็ที่อยู่อาศัยมันคือปัจจัยหนึ่งของการใช้ชีวิตเฟ้ยย
เลิกงานปุ๊บ ก็รีบสะพายกระเป๋า หยิบเต๊นท์ วิ่งออกจากบริษัท เจอผู้ร่วมทริป แล้วมุ่งหน้าไปจุดเริ่มทริปของเรากัน นั่นคือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อรับรถที่ทำการจองไว้
แล้วก็เริ่มออกเดินทางเลยจ้า ดูเวลา ณ ขณะนั้น ประมาณ 2 ทุ่ม 45 ถือว่าเป็นฤกษ์ยามงามดี ในการออกเดินทาง
หยิบโทรศัพท์ เปิดแอพแผนที่ Route ไปเมืองกาญ
เข้าเกียร์ D แล้วเหยียบคันเร่ง ออกมาจากสนามบินเลยจ้า มุ่งหน้าสู่เมืองกาญ ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์
ภาพตัดมาอีกครั้ง เวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ตอนนี้เราถึง สุวรรณภูมิ ไม่ต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่ครับ อ่านไม่ผิด เราหลงทาง วนเวียนอยู่ รอบๆสุวรรณภูมิ
เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว เลิกมองแผนที่แล้วหันมาพึ่งพาตนเอง พยายามมองหาป้าย แล้วดูว่าปลายทางไหนที่เราพอจะคุ้นๆบ้าง ขับไปเรื่อยๆเจอป้าย อ่อนนุช ก็ไม่รีรออะไรแล้วล่ะครับ ขับตามโลด . . .
จากนั้นก็เข้าเส้นทางหลักที่เราวางแผนไว้ คือเข้าถนน เพชรเกษม แล้ววิ่งยาวไปตามถนนเรื่อยๆ แล้วขึ้นสะพานเลี้ยวเข้าถนนแสงชูโต
เรามาถึงเมือง กาญจนบุรี เวลาประมาณ เที่ยงคืน บรรยากาศค่อนข้างสงบ รถไม่ค่อยมี
(ก็มันเที่ยงคืนแล้วนี่นะ ใครจะมาขับรถเล่นกันอีก)
คืนแรกที่เมืองกาญ เราจะนอนพักเอาแรงกันที่ "อมรามอร์นิ่งโฮม อพาร์ทเม้นท์" สนนราคาอยู่ที่ 600 บาทต่อคืน ห้องพักสะอาดดี จัดห้องไม่ต่างจากโรงแรมเลย เข้าห้องได้แล้วเราก็ไม่รอช้า อาบน้ำ แล้วขึ้นเตียงทันที . . . รีบนอนครับ ตกลงกันว่าพรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้า เราจะไปลุย อช.เขาแหลม กัน
ตื่นมาหกโมงเช้า ด้วยอากาศที่หนาวจัดเนื่องจากการเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 24 องศาเซลเซียส ทำให้เรา หลับต่อ ตื่นมาอีกที เกือบจะ 10โมง แล้ว ก็รีบอาบน้ำ ขนของขึ้นรถครับ คืนนี้เราจะไม่นอนที่นี่แล้ว เราจะไปกางเต๊นท์กันที่เข้าแหลมจ้า
เวลาประมาณ 10 โมงกว่าๆ เริ่ม เช็คเอาท์จากอพาร์ทเม้นท์ป้าอมรา กางแผนที่แล้วออกเดินทางสู่เขาแหลม กันเลย
แผนที่ แถมมากับหนังสือในรูป ใช้ดูคร่าวๆได้
ขับรถไปตามถนน แสงชูโต ไปเรื่อยๆ เจอที่เที่ยวก็แวะชม
ทริปนี้ จะทำให้เราจำชื่อถนน "แสงชูโต" จนขึ้นใจเลยครับ
วิ่งไปตามถนนแสงชูโต ไปทางตะวันตก เรื่อยๆ ป้ายแรกที่เห็นคือ "ทางรถไฟสายมรณะ" ไม่รอช้า ตบไฟเลี้ยวซ้ายเข้าถนน "แควใหญ่" เข้าไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงครับ แต่เผอิญ ฝนเริ่มตก เราก็ได้แต่ขับรถผ่าน แล้วกลับรถออกมาเข้า "แสงชูโต" อีกครั้งครับ มุ่งหน้าไปทางตะวันตก ต่อไป
จะเจอกี่แยก ก็เลี้ยวไปให้ตัวเองอยู่บนถนน "แสงชูโต" ให้ได้ครับ ชอบโดยส่วนตัวกับชื่อถนนนี้
ระหว่างทางถนนค่อนข้างโรแมนติก อาจไม่เท่าถนนอุโมงค์ที่กระบี่ แต่ก็ร่มรื่นไม่แพ้กัน
ผ่านมา 60 กิโลเมตร โดยประมาณ เจอป้ายที่เที่ยวอีกแล้วครับ กับ "น้ำตกไทรโยค" แต่เจ้ากรรม เราเบรคไม่ทัน ขับเลยไปเฉย แต่ไม่เป็นไร ข้อดีทริปนี้คือ เราขับรถมากันเอง ขับเลยก็กลับรถกลับมาครับ
ตามธรรมเนียมหน้าที่ ที่ต้องแวะถ่ายรูปมาอวดเพื่อน
จากนั้นก็เดินเข้าไปดูข้างในกันครับ
บรรยากาศก็อย่างที่คาดหวัง ร่มรื่นด้วยเงาร่มไม้ แต่ไม่ได้สงบอย่างที่คิด มีร้านขายอาหารเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งยังมีบริการเดลิเวอรี่ ส่งถึงที่ ที่เราไปกางเสื่อนั่ง คนที่ตั้งใจมานั่งปิคนิค ชิวๆ น่าจะชอบ
เดินขึ้นไปเรื่อยๆก็จะเจอน้ำตกกับเจ้าหน้าที่อุทยานอารมณ์ดีรออยู่ครับ
คำแรกที่ได้ยินเลย "สำหรับน้องๆที่จะลงเล่นน้ำนะครับ . . . ระวังเปียกกันด้วยนะครับ"
เหมือนจะแป๊ก แต่ก็ฮากันทั้งอุทยาน (เวอร์ไปนิดนะ)
น้ำตกก็สมชื่อ "ไทรโยคน้อย" ครับ
น้ำตกอาจจะน้อย แต่ดูคนที่มาเที่ยวแล้ว ความสุขของพวกเค้าไม่น้อยตามปริมาณน้ำเลยครับ เล่นกันสนุกสนานมากซะจนอิจฉา อยากลงเล่นด้วยเลย แต่กลัวจะขึ้นรถไปต่อไม่ได้ คงได้แค่มองตาปริบๆ
จากน้ำตก หันขวามาจะเจอทางไปไหนสักที่หนึ่ง เราก็ไม่รอช้าที่จะสวมวิญญาณนักสำรวจ เดินเข้าไปครับ

ระว่างเดินไปก็รู้สึกเหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่าง แผ่ออกมาจากกอไผ่กอนี้
พอเดินไปเข้าไปใกล้ๆ เริ่มเห็น หัวรถจักรรุ่นเก่ามากๆ จอดอยู่ ไม่แน่ใจว่าจอดเสีย หรือว่าไปต่อไม่ได้เพราะเห็นมีกิ่งไม้ห้อยขวางไว้
หัวรถจักรไอน้ำ ที่จอดไว้เป็นภิพิทภันพิพิธภัณฑ์ ที่สถานีน้ำตก
เดินต่อไปอีกหน่อยจึงได้รู้ว่า ที่จริงมันคือทางเดินจากน้ำตก ไปยัง "สถานีรถไฟน้ำตก" ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงชื่อสถานีน้ำตก
**ใครที่เป็นคอ Backpack สามารถนั่งรถไฟจากกรุงเทพมาได้เลยนะครับ สิ้นสุดที่สถานีนี้เลย**
เดินสูดอากาศ ถ่ายรูปต้นไม้ ฯลฯ ได้สักพัก ก็เริ่มรู้สึกว่า พอแล้ว สำหรับที่นี่ ก็ออกเดินทางกันต่อครับ
เหมือนเดิมครับ วิ่งเส้น "แสงชูโต" มุ่งหน้าไปทางตะวันตก
เป็นถนนที่คนกรุงเห็นแล้วต้องอิจฉาแน่ๆ
ระหว่างทางก็เห็นป้ายบอกทาง บอกว่า อุทยานแห่งชาติไทรโยค ตรงไป แน่นอนเราต้องแวะแน่ๆ แต่ขับไปเรื่อยๆ ดันไปเจอป้าย บอกทางไปเขื่อนวชิราลงกรณ์ ซะงั้น
ก็คิดในแง่ดีว่า ขับตรงไปคงเจอ อช.ไทรโยค แต่ยิ่งขับไป เหมือนยิ่งใกล้เขื่อนเข้าไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่าเราเลย อช. มาแล้ว เพราะมาถึงทางเข้าเขื่อนวชิราลงกรณ์ ก็ถือคติว่า อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป เราอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ก็ตบไฟเลี้ยว เลี้ยวเข้าเขื่อนทันที เขื่อนนี้เข้าฟรีนะครับ แต่ . . . เท่าที่เคยเที่ยวเขื่อนมา สองสามเขื่อน ก็ไม่เคยเจอเขื่อนไหนที่เก็บค่าธรรมเนียมนะ ไม่รู้ผมจะบอกทำไมเหมือนกัน
แต่ทางเข้าจะมี เจ้าหน้าที่แจกบัตรจอดรถอยู่ เหมือนที่จอดรถใน BigC หรือ Tesco Lotus นั่นล่ะครับ รับบัตรแล้วก็ขับตรงต่อมาได้เลย เดี๋ยวถนนจะพาเราไปยังทางขึ้นไปบนสันเขื่อนเอง
ทางขึ้นไม่ได้ชันมากครับ แต่จะค่อนข้างยาว
และที่แน่ๆ เราต้องไม่พลาดที่จะถ่ายรูปป้าย เพื่อเป็นหลักฐานว่า เรามากันจริงๆนะ
สำหรับเขื่อนนี้ ไม่ควรหวังอะไรมากนะครับ คิดซะว่าขึ้นมาชมวิวชมน้ำก็พอ บางครั้ง ความคาดหวังคือหนทางสู่ความผิดหวังได้นะครับ ความเห็นผมคิดว่า เค้าคงเน้นใช้สอย มากกว่าการปั้นให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ถ่ายรูปจนครบพิธีแล้ว ก็ลงสิครับ รออะไรอยู่ล่ะ เราจะไปกางเต๊นท์กัน เดี๋ยวจะมืดก่อนจะกางเต๊นท์เสร็จล่ะยุ่งเลย
เปิดแผนที่ดู จึงทราบว่า นอกจากเราจะเลย อช.ไทรโยคมาแล้ว เรายังเลยทางที่จะพาเราไปยัง อช. เขาแหลม ด้วย ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกเช่นกันครับ เรามาพักผ่อน จะเครียดกันไปทำไมให้หัวใจทำงานหนัก
ขับย้อนกลับไปยังแยกที่ว่าเราเลยมา แล้วก็เลี้ยวไปให้ถูกทางแค่นั้นเอง ขับมาเรื่อยๆ ชิลๆ และแล้วก็มีเหตุไม่คาดฝัน ทำให้เราต้องเบรคกันหัวทิ่มพวงมาลัยเกิดขึ้น เมื่อเผลอไปเห็นป้ายทางเข้าจุดชมวิวป้อมปี่ เป้าหมายที่เราจะไปกางเต๊นท์กัน ป้ายเล็กมากจริงๆครับ ต้องสังเกตุเอาดีๆ ไม่งั้นอาจเลยไปสังขละฯ ได้ง่ายๆเลย
เนื่องจากมันกระทันหัน เราเลยไม่ทันได้ถ่ายรูปเลย แต่ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ไปCapture รูปจาก Google street view มาให้ ผู้อ่านได้ลองเทียบดูว่า ป้ายมันเล็กและกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมขนาดไหน
พอเลี้ยวเข้าไป ประมาณ 200 เมตร ก็จะเจอด่านเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน
ก็เตรียมเงินครับ เดินเข้าไปแจ้งว่า มากี่คน ต้องการมากางเต้นท์ จะเสียค่าธรรมเนียมเท่าไหร่อะไรยังไง
แต่เจ้ากรรม ลุงเจ้าหน้าที่ บอกว่า เป็นห่วงเรื่องฝนฟ้ามาก หากจะกางเต้นท์ช่วงนี้ เพราะมีแววว่าฝนจะตกหนักมาก ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ และพวกเราก็ไม่ใช่คนดื้อด้านอะไร ไม่ได้กางเต้นท์ ก็ขอเดินเข้าไปสำรวจ ไปถ่ายรูปบ้างก็ดี ก็เตรียมค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานเพียงอย่างเดียว
แต่ดูเหมือนลุง จะรับรู้ได้ ถึงความผิดหวังของพวกเรา พยายามหาทางช่วย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เลยถามพวกเราดูว่า "เป็นนักเรียนกันอยู่รึเปล่า ?"
เราก็ตอบมาอย่างซื่อสัตย์ ว่า "ทำงานแล้วค๊าบ"
ลุงเลยบอกว่า "อ่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้ราคานักศึกษาละกัน"
จ่ายเงินกันเรียบร้อย เราก็กลับมาขึ้นรถ เพื่อเข้าไปสู่ท้องที่อุทยานกันจริงแล้วครับ ขับรถตามทางที่มีตรงเข้าไป ก็จะเจอด่านตรวจตั๋วครับ ยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่ แล้วก็เข้าไปเดินชมธรรมชาติกันได้เลย
เส้นทาง เป็นถนนลาดยาง เดินขึ้นสะดวกเลยครับ
สำหรับคนที่ประสงค์กางเต้นท์ ทางอนุยานไม่อนุญาตให้นำยานพาหนะเข้าไปในเขตพื้นที่กางเต้นท์นะครับ แต่เนื่องด้วยพื้นที่กางเต้นท์ กับบริเวณจอดรถ ค่อนข้างจะห่างใกลกันระดับหนึ่ง ทางอุทยานจึงได้จัดรถเข็น ไว้บริการ เพื่อความสะดวกในการขนส่ง สัมภาระ ครับ
ภายในก็จะมีร้านค้าสวัสดิการ ขายของอยู่นะครับ มีข้าวด้วยนะครับ แต่เป็นข้าวตามสั่ง การจัดการค่อนข้างเป็นกันเองมากกว่า เป็นร้านขายของครับ อารมณ์ประมาณ ร้านค้าของเครือญาติ มากกว่า
ร้านค้าสวัสดิการ ภายในอุทยาน
ฝั่งตรงข้ามร้านสวัสดิการ ก็มีพื้นที่นั่งพักผ่อน จัดไว้ให้ด้วย บรรยากาศค่อนข้างจะดีมากๆ
เดินเลยมาทางห้องน้ำ เราจะเจอกับสะพานแขวน ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าอีกฝั่งของสะพานจะมีอะไร ดูๆแล้ว ไม่กล้าเสี่ยงข้ามไป เดี๋ยวจะไปไม่ถึงจุดชมวิวป้อมปี่ซะก่อน
เดินเลยมาทางห้องน้ำ จะเจอทางลงไปยังสะพานแขวน
เดินย้อนกลับมาทางร้านค้าสวัสดิการ แล้วเดินตรงเข้าไปในพื้นที่อุทยาน ก็จะเจอกับ จุดที่เราต้องการมาครับ จุดชมวิว ป้อมปี่ เป้นเนินที่มองเห็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอ่างน้ำของ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ที่เราไปขึ้นมาก่อนหน้านี้นั่นเอง
จากรูป เห็นได้ชัดว่า ท้องฟ้าเริ่ม มืดมัว แปรปรวน ซึ่งเพราะเหตุนี้ เจ้าหน้าที่จึงไม่แนะนำให้กางเต้นท์ ช่วงนี้ ถ้ามาช่วงสภาพอากาศปกติล่ะก็ จะได้นั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกไปยังหลังเขื่อนด้วย จินตนาการไว้ว่าคงสวยน่าดู
ก้มหน้ามองนาฬิกา เวลาประมาณ 4 โมงกว่า คิดว่าคงถึงเวลาออกจาก อุทยานแล้ว เนื่องจากสภาพอากาศไม่เป็นใจ เราต้องกลับไปนอนในเมืองกาญ เหมือนเดิม
ก็บอกลาบอกขอบคุณเจ้าหน้าที่อุทยาน เรียบร้อยก็ออกมาเลยครับ สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่อพาร์ทเม้น ป้าอมราเหมือนเดิมครับ ก็โทรจองห้องเรียบร้อย แล้วก็ถึงอพาร์ทเม้นเวลาประมาณ หก โมงพอดี
ตกลงกันว่าจะนอนพักเอาแรงสักนิด แล้วคืนนี้ค่อยออกไปเที่ยวในเมืองกัน ก็แล้วกัน
ระหว่างนี้ก็ Google หาที่เที่ยวกลางคืน ในเมืงกาญไปด้วย
เวลาทุ่มเศษๆ เราก็ออกรถ ไปผจญภัยเมืองกาญยามค่ำคืนกัน ในเมื่อลุยป่า กางเต้นท์ไม่ได้ เราก็มาลุยเมืองเที่ยวกลางคืนซะเลย อันที่จริงแค่ออกมากินข้าว แล้วขับรถเล่น
ช่วงนี้เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย จึงขอไม่โม้ต่อ แล้วก็กลับไปนอน รอโม้การผจญภัยของวันพรุ่งนี้ดีกว่า
เช้าวันอาทิตย์ วันสุดท้ายของพวกเรา สำหรับที่นี่ เราตื่นมาประมาณ 8 โมง ก็ค่อยๆ กระดึ๊บไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำอาบท่า ตามกำหนดเดิม หากเรานอนเต้นท์กันที่ป้อมปี่ วันนี้เราต้องออกจากป้อมปี่แต่เช้า เพื่อทำเวลากลับ กทม. เนื่องจากกลัวจะเจอมหกรรมรถติด แต่กำหนดการเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เลย Slow life ได้เต็มที่ เวลาประมาณ 10 โมงกว่า จึง เช็คเอาท์ออกจากอพาร์ทเม้นป้าอมรา คราวนี้ไปจริงๆแล้วนะครับป้า ^^
ที่แรกเลยที่อยากไป ตอนกลับมาจาก อุทยานเมื่อวาน เหลือบไปเห็นป้ายบอกทางไปสุสานทหารสหพันธมิตร เห็นแค่ป้ายก็ให้ความรู้สึกดูขลังๆ เหมือนครั้งแรกที่ผมได้เห็นป้ายสถานฑูตสหรัฐตรงถนนวิทยุเลย
ว่าแล้วก็ออกรถเลยครับเข้าถนนแสงชูโตเหมือนเดิม มุ่งหน้าไปทางตะวันตก ไปตั้งต้นที่ป้ายบอกทาง แล้วขับตามอย่างเคร่งครับ ผมไม่ทราบว่าใช้ถนนเส้นไหน แต่จำได้คร่าวๆว่า วิ่งเส้น แสงชูโต แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าฝั่งตรงข้ามกับ ซอย แสงชูโต 54 แล้วตรงไปเจอวงเวียน ก็อ้อมนิดๆแล้วตรงต่อไป ขึ้นสะพานสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร ไป ตรงไปเรื่อยๆ ขึ้นไปอีกหนึ่งสะพาน แล้วเลี้ยวขวาเมื่อสิ้นสุดถนน
ขับตรงไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอเอง (บอกทางซะอย่างกับเพื่อนเล่น)
พอเรามาถึง รู้สึกแปลกๆ เขินๆ กล้าๆ กลัวๆ มันเงียบมาก เราเลยขับเลยไปก่อน เพื่อไปตั้งตัว ตั้งสติ อะไรก็ว่าไป แล้วเลี้ยวรถกลับมาทางเดิม แล้วเลี้ยวเข้ามาในสุสาน ทำเนียนว่าเรามีความสัมพันธ์กับวีรีบุรุษในสถานที่แห่งนี้
สุสานทหารสหพัธมิตร ซึ่งเป็นที่พักพิงสุดท้ายของเหล่าทหารอังกฤษ ฮอลแลนด์
ชื่อทางการของสถานที่แห่งนี้คือ "Chungkai War Cemetery"
Chungkai อ่านว่า ช่องไก่ นะครับ
เดินเข้าผ่านซุ้มประตูเข้ามาด้านใน ก็จะเป็นพื้นที่(ซึ่งผมเข้าใจว่า)บรรจุ/ฝัง ศพของทหารที่เสียชีวิตไว้
สำหรับใครที่สนใจข้อมูลในตรงนี้ สามารถหยิบสมาร์ทโฟนมาสแกน QR Code ข้างล่างนี้ไปอ่านต่อได้เลยครับ
CWGC QRCode
โดยส่วนตัวแล้วผมชอบที่นี่มาก ดูเงียบ สงบ รู้สึกได้ถึงความขลัง (อันหลังนี่เหมือนจะคิดไปเอง)
เดินไปเดินมา ถ่ายรูป อ่านประวัติ จนไม่รู้จะทำอะไรต่อแล้ว ก็กลับเข้ามาในรถ หาที่ไปต่อ ด้วยอารมณ์ที่ยังค้าง อยากเที่ยวที่ไหนก็wด้ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์สงคราม ก็นึกขึ้นได้ สมัยเรียนวิชาทหาร นักศึกษาชั้นปีที่สาม จะต้องไปเข้าค่ายที่ เขาชนไก่ กาญจนบุรี ก็ไม่รอช้า หาทางไปเขาชนไก่ทันทีครับ
ระหว่างที่หาทางไปเขาชนไก่ ก็ไปเจอหน้าหนึ่งในหนังสือที่ซื้อมา บอกว่า มีอีกที่ ที่น่าสนใจ คือ พร้อมมิตรฟิล์ม สตูดิโอ หรือ กองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร นั่นเอง
ก็ค่อนข้างน่าสนใจ เบนเข็มนาฬิกามายัง พร้อมมิตร สตูดิโอ ทันที อะไรจะเปลี่ยนง่ายปานนั้น ^^
คราวนี้เดินทางไม่ยากครับ เข้าถนน แสงชูโต มุ่งหน้าไปทางตะวันตก ถึงแยกแสงชูโตตัดกับถนนลาดหญ้า ขับตรงไปเรื่อยๆ ถึงสถานีอนามัย แล้วจึงเลี้ยวขวา แล้วจะมีป้ายบอกทางอย่างละเอียด
แล้วก็เหมือนเดิมเลยครับ ตามป้ายไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงเราจะเห็นป้ายบอกชื่อสถานที่ไว้ชัดเจนครับ
มาถึงก็หาที่จอดกันตามอัธยาศัยเลยครับ ใครเห็นพื้นที่ไหนร่มๆ(ซึ่งมีไม่มาก) ก็เชิญจอดตามสบาย
ไม่มีการจัดการที่จอดรถใดๆเลยครับ จอดกันได้ตามอัธยาศัยมาก หรืออีกความหมายนึงคือ ไม่มีระเบียบมาก แต่เราก็ต้องปรับตัวตามให้ได้ ขับไปหาต้นไม้ที่ว่างๆ แล้วเข้าจอดได้ทันทีครับ ลงจากรถก็เดินลงมา ถ่ายรูปป้ายตามธรรมเนียม แล้วก็เดินผ่านประตูเข้าไป ตรงประตูนี้ สามารถเดินเข้าไปได้เลยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิน
พอเราเดินเข้ามาถึงด้านใน อย่างแรกที่เจอเลยคือ เมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ มีตลาดน้ำ เป็นผังเมืองต้อนรับผู้มาเยือน
แหงล่ะก็ชื่อเค้าบอกอยู่ว่า "ตลาดน้ำกองถ่ายฯ ค่ายสุรสีห์"
แต่ดูๆไปแล้ว ยังไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ เราก็พยายามตามหาสิ่งที่เราคุ้นเคย อะไรที่เห็นแล้วจะทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ที่นึกขึ้นได้คือ สิงห์คู่ ประตูเมืองหงสาวดี ไม่แน่ใจว่าผมเรียกถูกรึเปล่า แต่พอนึกภาพออกว่า เป็นสิงห์ตัวสีขาวๆ มีสีทองปะปนอยู่ ตัวใหญ่ๆ นั่งขนาบข้างประตูเมืองอยู่ (จำมาจากภาพยนตร์ล้วนๆจ้า)
เดินจนเหนื่อย เกือบจะท้อ เจอแต่ศาลาแสดงชุดนักรบหลายๆชาติ แต่เราก็ยังไม่ท้อ เดินกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงตามสายเรียกลูกค้า เข้าชมพิพิธภัณฑ์
"เชิญนั่งรถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรีกันนะคะ ค่าเข้าชมเพียง 50 บาทต่อท่าน" พอสิ้นเสียงเรียก เราก็ยังเฉย พลางเถียงกับตัวเองอยู่ภายในใจ ว่าจะเข้าดีมั๊ย ระหว่างที่คิด ก็มีเสียงเรียกเข้าชม พูดซ้ำๆอยู่ประมาณ 3-4 ครั้ง จนเราตัดสินใจได้ว่า ไหนๆก็มาแล้ว ตกลงว่า เข้า ก็จ่ายค่าเข้าชม แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถพ่วงที่รอคนเต็มอยู่ก่อนแล้ว
ขึ้นรถปุ๊บ รถออกปั๊บ บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนจากที่เราเดินๆกันอยู่เมื่อกี้ไปพอสมควร สิ่งแวดล้อมรอบข้างเริ่มจะคุ้นตา ว่าเราเคยเห็นมันในภาพยนตร์ ระหว่างที่ผ่านสถานที่ต่างๆ ก็จะมีน้องคนนึง ซึ่งเป็นไกด์ของพิพิธภัณฑ์ คอยอธิบายว่า ทางด้านซ้ายมือของเราคืออะไร ขวามือของเราคืออะไร บางครั้งน้องก็อธิบายยาวไปจนถึงประวัติศาสตร์จริงๆ ตรงนี้ นับถือในความรู้ ความสามารถของน้องจริงๆ
นั่งมาได้สักพัก ฝันของเราก็เป็นจริง เมื่อรถพ่วงพาเราผ่าน สิงห์คู่ เข้ามา ในเมืองหงสาวดีแล้วครับ
ถึงจุดที่หนึ่ง ก็ปล่อยพวกเราลง พร้อมบอกรายละเอียดจุดนัดผม ว่าเดี๋ยวจะมีรถมารับที่ไหนอะไรยังไง แล้วรถก็จากเราไป รูปแบบการเข้าชมคือ รถหนึ่งขบวนจะพาเรามาส่ง ที่จุดเข้าชมหนึ่ง แล้วจะมีรถอีกขบวนมารับเราไปยังจุดเข้าชมต่อไป โดยคันเดิมที่เรานั่งมานั้น จะย้อนกลับไปรับผู้เข้าชมรอบถัดไปเข้ามา จะเป็นลำดับแบบนี้ไปเรื่อยๆ ประมาณ 3-4 จุดเข้าชม
รถมาจอดเอา หลังสิงห์คู่ เลย
ด้วยใจรัก เราเดินอ้อมมาข้างหน้าได้
ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยผมมันแค่หางอึ่ง เอาเป็นว่า ชมรูปเป็นแนวทางอย่างเดียวเป็นพอนะครับ สำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
จากการเข้าชมแล้ว ในส่วนที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์จริง ดูจะค่อนข้างเก่า หลายๆอย่างก็เสื่อมไปตามอายุการใช้งาน จำได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉายภาคแรกก็ตอนผมอยู่ ม. 4 จนกระทั่งตอนนี้ผมจบปีห้า ทำงานมาได้เกือบปีแล้ว คงไม่แปลกที่หลายๆอย่างจะโรยราไปตามกาลเวลา
ก้มดูนาฬิกา เวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ ก็ตัดสินใจว่า ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะจบทริป กาญเดินทาง ครั้งนี้ เราก็ออกรถวิ่งตรงออกจากเมืองกาญ ระหว่างทางก็ได้มีโอกาสแวะซื้อของฝาก ไปฝากเพื่อนที่ทำงาน เพื่อนที่มหาลัย เพื่อนที่พอจะนึกชื่อได้ ซึ้งล้วนแล้วแต่เป็นของกินทั้งสิ้น
สรุป ทริปนี้ เป็นหลักฐานชั้นดีว่า "การเดินทางนั้น สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เป้าหมาย หากแต่เป็นสิ่งที่เราพบเจอระหว่างทางต่างหาก" พวกเราพลาดโอกาสไปกางเต้นท์ชมวิวสวยๆ แต่ระหว่างทาง กว่าที่เราจะไปถึงจุดกางเต้นท์นั้น มันสวยงามไม่แพ้กันเลย และกาญจนบุรี เป็นอีกที่เที่ยวสำหรับคนรักธรรมชาติ ห่างกรุงเทพฯ แค่ไม่กี่ร้อยโล (รอบนี้รีวิวในฐานะคนกรุง เว้นเห้ยย) จุดกางเต้นท์เพียบ มีรอบสอง รอบสามแน่ๆ สำหรับผม ถือเป็นทริปที่ค่อนข้างจะประทับใจมาก แม้จะไม่เป็นไปตามคาด ผู้คนที่นี่ก็ใจดีครับ (เฉพาะศิษย์ CoE มานี่แล้วคุณจะนึกถึงชาญณรงค์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น